วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

การจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอน


         

                  
                   การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ..2542  และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องยึดหลักการว่าผู้เรียนทุกคนมีความรู้ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้   และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด  กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ  ดังนั้น การจัดกระบวนการเรียนรู้จึงต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด  การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา  จัดการเรียนรู้โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆอย่างได้สัดส่วนสมดุลกันและปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะที่พึงประสงค์   ครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนแบบต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้   เทคนิคการจัดการเรียนรู้เพื่อตอบสนองหลักการที่กล่าวข้างต้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง   


เทคนิคการจัดการเรียนรู้
1.  การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method)
          การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนเป็นการฝึกให้นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยกระบวนการคิดหาเหตุผลหรือ
แนวทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเองโดยผู้สอนตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนใช้ความคิดหาวิธีแก้ปัญหาได้เอง และสามารถนำการแก้ปัญหานั้นมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
                ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
1.   เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสืบสวนสอบสวนความรู้หรือข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
2.   เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดหาเหตุผล
3.   เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ขั้นตอนของการจัดการเรียนรรู้แบบสืบสวนสอบสวน
ขั้นที่ 1 การสังเกต (Observation)   หลังจากที่กำหนดประเด็นปัญหาแล้ว ให้นักเรียนสังเกตสภาพการณ์หรือ
สิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปัญหา พยายามนำความคิดรวบยอดเดิมมาแก้ปัญหาคิดหาเหตุผล  จัดลำดับความคิดในรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพการณ์อันเป็นปัญหานั้น
ขั้นที่ 2 การอธิบาย (Explanation)   นักเรียนจัดระบบความคิด  ตั้งสมมุติฐานเพื่ออธิบายความคิดรูปแบบต่าง ๆ
 ในการแก้ปัญหา  ทบทวนความคิด  และทำความเข้าใจปัญหานั้นๆ  ให้ชัดเจน
                ขั้นที่ 3 การทำนาย (Prediction) เมื่ออธิบายความคิดรูปแบบต่างๆ ในการแก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนทำนายหรือ
พยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อีกว่าเมื่อเกิดแล้วจะเกิดผลและแก้ไขอย่างไร
                ขั้นที่ 4 การนำไปใช้และสร้างสรรค์ (Control and Creativity) นักเรียนสามารถนำเหตุผลและความเข้าใจในการแก้ปัญหาไปใช้ประโยชน์ให้กว้างไกลในชีวิตประจำวันได้ มีความคิดสร้างสรรค์และนำไปใช้ในสภาพการณ์อื่นๆ
                ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
1.   นักเรียนสามารถใช้ความคิด สติปัญญาและประสบการณ์เดิมของตนเองอย่างมีอิสระ
2.   ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเป็นคนช่างสังเกต มีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ตรวจสอบ
3.   นักเรียนเกิดความเชื่อมั่น กล้าแสดงความคิดเห็น
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
1.    ครูมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน เนื่องจากครูต้องป้อนคำถามให้กับนักเรียนเพื่อ
นำไปสู่การคิดค้นคว้า
2.    ครูต้องให้โอกาสนักเรียนทุกคนอภิปราย วางแผน และกำหนดวิธีการแก้ปัญหาเอง
3.    ปัญหาที่กำหนดเพื่อสืบสวนสอบสวนไม่ควรยากเกินความสามารถของนักเรียนถ้าปัญหายากเกินไป ครูต้องเตรียมการสำหรับการร่วมแก้ปัญหาไว้ด้วย


2.    การจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน (Committee Work Method)
        การจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มร่วมมือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด หรือความสนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทำงานร่วมกันตามวิถีแห่งประชาธิปไตย
                      ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.    เพื่อให้นักเรียนมีความรับผิดชอบร่วมกันในการทำงานนั่นคือส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
2.    เพื่อสร้างวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและมีระเบียบวินัย รู้จักทำหน้าที่เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
3.    เพื่อฝึกทักษะในการแก้ปัญหาตามวิธีการวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยปฏิบัติงานทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
4.    เพื่อให้นักเรียนได้ทำงานตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
5.    เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงในการทำงาน
                     ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.    ครูและนักเรียนร่วมกันกำหนดความมุ่งหมายของการทำงานในแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่กำหนดความมุ่งหมายและวิธีการทำงานอย่างละเอียด
2.   ครูเสนอแนะแหล่งวิทยาการที่จะใช้ค้นคว้าหาความรู้ ได้แก่ บอกรายละเอียดของหนังสือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
3.   นักเรียนร่วมกันวางแผนและปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
4.   ครูและนักเรียนประเมินผลการทำงาน ในกรณีที่เป็นครูให้สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการปฏิบัติงาน ในกรณีที่เป็นนักเรียนให้ร่วมกันประเมินผลการปฏิบัติงานในกลุ่มตนเอง โดยบอกขั้นตอนการปฏิบัติงาน ผลที่ได้รับ และการพัฒนางานในโอกาสต่อไป
                     ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.   นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที่
2.   นักเรียนได้ทำงานตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตนเอง
                     ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.  ถ้าครูเพิ่งเริ่มจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มทำงานเป็นครั้งแรก ครูควรดูแลนักเรียนใกล้ชิด เช่น ต้องดูแลให้นักเรียนทุกคนทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย  นักเรียนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทำหน้าที่ประสานงานระหว่างสมาชิกในกลุ่มและนอกกลุ่ม รวมทั้งประสานงานกับครู
2.  หน้าที่การเป็นหัวหน้ากลุ่ม ควรหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันตามโอกาส เพื่อฝึกการเป็นผู้นำ และการเป็นผู้ตามที่ดี
3.  การปฏิบัติกิจกรรมในกลุ่มควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด


3.  การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (Inductive Method)
         การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย เป็นการจัดการเรียนรู้จากรายละเอียดปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์ หรือจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ นั่นคือ นักเรียนได้เรียนรู้ในรายละเอียดก่อนแล้วจึงสรุป ตัวอย่างของการจัดการเรียนรู้แบบนี้ ได้แก่ ให้โอกาสนักเรียนในการศึกษาค้นคว้า สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบแล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อสรุป
                ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย
1.  เพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สำคัญๆ ด้วยตนเอง โดยการทำความเข้าใจความหมายแล้วจึงสร้างความสัมพันธ์ของความคิดให้แจ่มแจ้งก่อนที่จะนำมาสรุปกฎเกณฑ์ ครูผู้สอนมีหน้าที่ในการกระตุ้นและให้แนวทางการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
2.  เพื่อให้นักเรียนมีทักษะในการสรุปหลักเกณฑ์จากรายละเอียดอย่างมีระบบ
                  ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย
1.  ขั้นเตรียมนักเรียน เป็นการเตรียมความรู้และแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนด้วยการทบทวน
ความรู้เดิม กำหนดจุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้เข้าใจ
2.  ขั้นเสนอตัวอย่างหรือกรณีศึกษาต่าง ๆ ให้นักเรียนพิจารณาเปรียบเทียบสรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่างควรเสนอหลาย ๆ ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้
3.  ขั้นหาองค์ประกอบรวม คือ การให้นักเรียนมีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบจาก
ตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์
4.  ขั้นสรุปข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ ด้วยตัวของนักเรียนเอง
5.  ขั้นนำข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์สิ่งที่ได้จากการทดลองหรือสิ่งที่เข้าใจไปใช้ในสถานการณ์อื่น
                ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย
1.   นักเรียนสามารถเข้าใจรายละเอียดและหาข้อสรุปได้อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้จดจำได้นาน
2.   นักเรียนได้รับการฝึกทักษะการคิดตามหลักการเหตุผล และหลักวิทยาศาสตร์
3.   นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหาและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี
                ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย
1.  ในการสอนแต่ละขั้น ครูไม่ควรเร่งรัดเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน ควรให้โอกาสในการคิดอย่างอิสระ
2.  ครูควรสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนที่ไม่เป็นทางการบ้างเพื่อลดความเครียดและความเบื่อหน่าย
3.  การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยจะให้ผลสัมฤทธิ์สูง ถ้าครูทำความเข้าใจทุกขั้นตอนอย่างดีก่อนจัดการเรียนรู้



4.  การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive Method)
                การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัยเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มจากกฎเกณฑ์หรือหลักการ   แล้วให้นักเรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน นั่นคือการฝึกทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผล มีการพิสูจน์ตรวจสอบข้อเท็จจริงอันมีที่มาจากหลักการ
                ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย
1.   เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาโดยยึดกฎ สูตร และหลักเกณฑ์ต่างๆ
2.   เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหาและตัดสินใจในการทำงาน ด้วยการพิสูจน์ให้ทราบข้อเท็จจริง
ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย
1.  ขั้นอธิบายปัญหา เป็นขั้นของการกำหนดปัญหาและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบในการแก้ปัญหา
2.   ขั้นอธิบายกฎหรือหลักการเพื่อการแก้ปัญหา เป็นการนำเอาข้อสรุปกฎเกณฑ์หรือหลักการมาอธิบายให้
นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา
3.   ขั้นตัดสินใจ เป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกกฎ หรือหลักการ หรือข้อสรุปมาใช้ในการแก้ปัญหา
4.   ขั้นพิสูจน์/ตรวจสอบ   เป็นขั้นการนำหลักฐานหรือเหตุผลมาพิสูจน์ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักการนั้น ๆ
                ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย
1.  ใช้ได้กับการจัดการเรียนรู้เนื้อหาวิชาง่าย ๆ  เนื่องจากหลักการหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะสามารถอธิบายให้
นักเรียนเข้าใจความหมายได้ดี เป็นการอธิบายจากส่วนใหญ่ไปหาส่วนย่อย
2.  เป็นการฝึกทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล และพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย
1.  ครูผู้สอนต้องศึกษากฎเกณฑ์ หลักการหรือข้อสรุปต่างๆ อย่างแม่นยำก่อนทำการสอน
2.  ครูเป็นผู้กำหนดความคิดรวบยอดให้นักเรียน จึงไม่ช่วยฝึกทักษะในการคิดหาเหตุผลและแก้ปัญหาด้วยตัวนักเรียนเองได้มากเท่าที่ควร


5.   การจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย (Discussion Method)
                การจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย เป็นการจัดการเรียนรู้โดยที่นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง การอภิปรายอาจกระทำระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนด้วยกัน โดยมีครูเป็นผู้ประสานงาน การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนคิดเป็น พูดเป็น และสร้างเสริมความเป็นประชาธิปไตย
 ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย
1. เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย
2. เพื่อฝึกทักษะในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
3. เพื่อฝึกทักษะในการพูด และการแสดงความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย
1. ขั้นนำเข้าสู่หัวข้อการอภิปราย เป็นขั้นการกระตุ้นหรือเร้าความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น
2.  ขั้นอภิปราย ในขั้นนี้ให้แบ่งนักเรียนเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้อภิปรายซึ่งอยู่หน้าชั้นเรียนกับฝ่ายผู้ฟัง ฝ่ายผู้อภิปรายประกอบด้วยประธานหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเป็นผู้เสนอปัญหา สรุปประเด็นสำคัญ และนำการอภิปรายไม่ให้ออกนอกทาง ตัดบทสมาชิกที่ถกเถียงกัน การนำเข้าสู่หัวข้อการอภิปราย ประธานจะต้องกล่าวแนะนำหัวข้อที่จะอภิปรายจากนั้นแนะนำสมาชิกผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคน
ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย
1.   ส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสแสดงความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
2.   พัฒนาสติปัญญาของนักเรียนด้านการคิดหาเหตุผล
3.  ส่งเสริมการค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียนเพื่อนำมาใช้ในการอภิปราย
4.  ผู้เรียนสามารถนำวิธีการอภิปรายไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย
1.   หากผู้ดำเนินการอภิปรายไม่มีความสามารถในการอภิปราย จะทำให้การอภิปรายไม่สัมฤทธิ์ผล และสิ้นเปลืองเวลามาก
2.  หากการตั้งหัวข้อไม่ดีจะทำให้ไม่ได้ข้อสรุปของการอภิปราย
3.  ครูผู้สอนต้องควบคุมให้การอภิปรายดำเนินไปตามหลักการที่ถูกต้อง  เช่น ประธานต้องไม่ใช้ความคิดของตนเองชี้นำจนผู้ร่วมอภิปรายไม่ใช้ความคิดของตนเอง

               http://www.youtube.com/watch?v=olTABvLfWLk




6.   การจัดการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)
                ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์
1. ขั้นกำหนดปัญหา และทำความเข้าใจถึงปัญหา
เป็นขั้นในการกระตุ้นหรือเร้าความสนใจให้นักเรียนเกิดปัญหา อยากรู้อยากเห็นและอยากกระทำกิจกรรมในสิ่งที่เรียน หน้าที่ของครูคือการแนะแนวทางให้ผู้เรียนเห็นปัญหา จัดสิ่งแวดล้อมในการแก้ปัญหาโดยมีนวัตกรรมต่างๆ ช่วย
2.  ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา
ขั้นนี้ครูและนักเรียนช่วยกันแยกแยะปัญหากำหนดขอบข่ายในการแก้ปัญหาและจัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังในการแก้ปัญหา ดังนี้
2.1  ครูและนักเรียนร่วมกันวางแผนและกำหนดวิธีการแก้ปัญหา
2.2  แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบและทำงานตามความสามารถและความสนใจ
2.3  แนะนำให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มรู้จักแหล่งความรู้ เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหา
3.   ขั้นลงมือแก้ปัญหาและเก็บข้อมูล
เป็นขั้นการเรียนรู้ของนักเรียนเองโดยการกระทำจริงๆ จึงเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้มีความรู้ความสามารถที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในขั้นนี้ครูมีหน้าที่ ดังนี้
3.1  แนะนำให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเข้าใจปัญหารู้จักวิธีแก้ปัญหาและรู้จักแหล่งความรู้สำหรับแก้ปัญหา
3.2  แนะนำให้นักเรียนทำงานอย่างมีหลักการ
4.   ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผล

               เป็นขั้นการรวบรวมความรู้ต่างๆ จากปัญหาที่แก้ไขแล้ว นักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้องแสดงผลงานของตน

          5.   ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและการนำไปใช้

              ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปและประเมินผลการปฏิบัติการแก้ปัญหาดังกล่าวว่ามีผลดีผลดีผลเสียอย่างไรแล้วบันทึกเรียบเรียงไว้เป็นหลักฐาน

                ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์
1.   นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและได้ร่วมปฏิบัติงานเป็นทีม
2.   ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
3.   ส่งเสริมให้มีความรับผิดชอบ
4.   ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดหาเหตุผลและมีการคิดอย่างเป็นระบบ

            ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์

1.   ปัญหาที่นำมาใช้ต้องเป็นปัญหาที่เกิดจากนักเรียน ไม่ใช่เป็นปัญหาที่ครูกำหนดให้
2.  ครูต้องยึดมั่นในบทบาทการทำหน้าที่ให้แนวทางในการคิดแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นผู้ชี้นำความคิดของนักเรียน


7.  การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือการทดลอง (Laboratory Method)
                การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือการทดลอง เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนลงมือปฏิบัติหรือทำการทดลองค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง วิธีสอนแบบปฏิบัติหรือการทดลองแตกต่างจากวิธีสอนแบบสาธิต คือวิธีสอนวิธีสอนแบบปฏิบัติหรือการทดลองผู้เรียนเป็นผู้กระทำ เพื่อพิสูจน์หรือค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ส่วนวิธีสอนแบบสาธิตนั้นครูหรือนักเรียนเป็นผู้สาธิตให้เห็นกระบวนการและผลที่ได้รับจากการสาธิตเมื่อจบการสาธิตแล้วผู้เรียนต้องทำตามกระบวนการสาธิตนั้น
                ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือการทดลอง
1.  เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติหรือทดลองค้นหาความรู้ด้วยตนเอง
2.  เพื่อส่งเสริมการใช้ประสบการณ์ตรงในการแก้ปัญหา
3.  เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าแทนการจดจำจากตำรา

      ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือการทดลอง

1.   ขั้นกล่าวนำ
2.   ขั้นเตรียมดำเนินการ
3.   ขั้นดำเนินการทดลอง
4.   ขั้นเสนอผลการทดลอง
5.   ขั้นอภิปรายและสรุปผล

             ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือทดลอง

1.    ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของการปฏิบัติการหรือทดลอง
2.    เป็นการเรียนรู้จากการกระทำ หรือเป็นการเรียนรู้จากสภาพจริง
3.    เสริมสร้างความคิดในการหาเหตุผล
4.    เป็นการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
5.    เป็นการเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสหลายด้าน
6.  การปฏิบัติการหรือทดลอง นอกจากช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเรียนรู้แล้ว ยังทำให้นักเรียนมีความสนใจและตั้งใจเรียนเพราะได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง
ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือทดลอง
1.    ในการปฏิบัติการหรือการทดลองนั้น ผู้เรียนทุกคนต้องมีโอกาสใช้เครื่องมือ   
อุปกรณ์เท่าๆ กันจึงจะได้ผลดี ครูผู้สอนจึงต้องเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ครบครัน
2.    ต้องมีการควบคุมความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ
3.  ต้องมีเวลาในการเตรียมการสอนอย่างเพียงพอ ได้แก่ การเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์
4.    ต้องใช้งบประมาณมาก เนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้ในการทดลองมีราคาแพง หากไม่เตรียมการสอนที่ดีพอผลที่ได้จะไม่คุ้มค่า
5.    ต้องกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อพื้นที่ที่ปฏิบัติการหรือทดลองให้เหมาะสมโดยปกติแล้ววิธีเรียนรู้แบบปฏิบัติการหรือทดลองทำได้กับนักเรียนจำนวนน้อย

8.  วิธีการสอนแบบบรรยาย (Lecture Method)
ความหมายของการบรรยาย
            คือกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยการพูดบอกเล่า  อธิบายเนื้อหาเรื่องราวที่ผู้สอนได้เตรียมการศึกษาค้นคว้ามาเป็นอย่างดี ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับฟัง อาจจะมีการจดบันทึกสาระสำคัญในขณะที่ฟังการบรรยายหรืออาจมีโอกาส  ซักถามแสดงความคิดเห็นได้บ้างถ้าผู้สอนเปิดโอกาส วิธีจี้เหมาะกับผู้ฟังจำนวนมาก และผู้บรรยายมีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ ต้องการนำเสนอเนื้อหาสาระจำนวนมากในลักษณะคมชัดลึก โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงเป็นการเรียนรู้ที่ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้ผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนรู้เนื้อหาสาระหรือความรู้จำนวนมาก  ในลักษณะ คม ชัด ลึก พร้อมๆกันในเวลาที่จำกัด
2.เพื่อให้ความรู้ประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน  ซึ่งเป็นความรู้ที่ค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง
องค์ประกอบ
การจัดการเรียนรู้แบบบรรยายมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้
1.เนื้อหาสาระหรือข้อความที่ต้องงการให้เรียนรู้
2.การบรรยาย
3.ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1.ขั้นเตรียมการ
  • กำหนดจุดประสงค์
  • ศึกษาภูมิหลังผู้เรียน
  • เตรียมเนื้อหาสาระ
  • กำหนดเค้าโครง  จัดลำดับเนื้อหา
  • เตรียมเทคนิคการสอน
  • เตรียมสื่อประกอบการบรรยาย
  • เตรียมการประเมินผล
2.ขั้นบรรยาย
  • ขั้นนำ เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน
  • ขั้นอธิบาย เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
  • ขั้นสรุป
3.ขั้นประเมินผลการเรียนรู้
ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทดสอบหลังบรรยาย ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม
ข้อดี
1.เป็นวิธีการที่ให้ความรู้เนื้อหาสาระแก่ผู้เรียนได้มาก แต่ใช้เวลาน้อย
2.เป็นวิธีการที่สะดวกที่ใช้กับผู้เรียนจำนวนมาก
3.เป็นวิธีที่สะดวก ผู้สอนดำเนินการคนเดียว
4.เหมาะสมสำหรับเนื้อหาที่มีความซับซ้อนยุ่งยาก ผู้เรียนฟังการบรรยายแล้วเข้าใจมากกว่าการศึกษาด้วยตนเอง
ข้อจำกัด
1.เป็นวิธีที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เพราะต้องรับรู้เรื่องเดียวกัน
2.เป็นวิธีการที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้น้อยมาก ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย

ทิศนา  แขมมณี. 14วิธีสอนสำหรับครูมืออาชีพ.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2544.
สุวิทย์  มูลคำ.19วิธีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์,2545.